TS FARM มีจุดเริ่มต้นในเดือนสิงหาคมปี พ.ศ.2534 ณ อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร โดยคุณสิทธิพงศ์ กฤชภากรณ์ ได้ซื้อลูกผสมพันธุ์อเมริกันบราห์มันชุดแรกเข้ามาเลี้ยงเป็นจำนวน 13 ตัว หลังจากเลี้ยงได้สักระยะ อยากศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ในปี พ.ศ. 2537 จึงได้ไปเข้าร่วมอบรมวิธีการเลี้ยงโคอเมริกันบราห์มันพันธุ์แท้ ที่ ศบค.หรือศูนย์บำรุงพันธุ์โค ในอุปการะของรัฐบาล หลังการอบรมก็ได้นำความรู้สไตล์กรมปศุสัตว์มาพัฒนาต่อ และในการเข้าร่วมอบรมนี้ก็ได้รับสิทธิ์ในการซื้อวัวของกรมปศุสัตว์ จึงซื้อโคอเมริกันบราห์มันพันธุ์แท้ชุดแรกมา 25 ตัว โคตัวแรกของฟาร์มที่ตีเบอร์ คือ TS 01/38 ต่อมาคุณสิทธิพงศ์ได้มีโอกาสไปดูงานและฟาร์มโคที่ประเทศญี่ปุ่น ทำให้มองเห็นโอกาสทางเศรษฐกิจ เมื่อกลับมาไทยจึงได้เริ่มเลี้ยงโคพันธุ์วากิว ในปี พ.ศ. 2548 และขณะเดียวกันก็ได้ศึกษาเรื่องการทำ ET จนได้เริ่มทำ ET ในโคอเมริกันบราห์มัน ครั้งแรกในปี พ.ศ.2549 และทำการขยายฝูงมาอย่างต่อเนื่องจนมีวัว 700 กว่าตัว ในปี พ.ศ.2552 ซึ่งในตอนนั้นที่ฟาร์มก็จะมีโคพันธุ์อเมริกันบราห์มัน กำแพงแสน วากิว และชาร์โลเล่ย์ ซึ่งตั้งแต่ได้เริ่มเลี้ยงโคอเมริกันบราห์มันพันธุ์แท้ก็ไม่ได้ทำลูกผสมบราห์มันอีกเลย มีเพียงลูกผสมชาร์โลเล่ย์ที่ยังคงทำต่อเนื่อง
ต่อมาในปี พ.ศ.2553 TS Farm ได้เริ่มต้นทำโคบีฟมาสเตอร์ครั้งแรก ด้วยความร่วมมือและสนับสนุนจากคุณวินิจ บริษัท เยนวา จำกัด ซึ่งช่วยประสานให้ Mr.Doyle Sander เจ้าของฟาร์ม Beefmaster – Dbl D Bar Ranch จากสหรัฐอเมริกา และทำหน้าที่เป็นหนึ่งในคณะทำงานฝ่ายต่างประเทศของ BBU (Beefmaster Breeders United) ได้นำเอาน้ำเชื้อพ่อพันธุ์บีฟมาสเตอร์ที่มีคุณภาพจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก BBU มาให้ทั้งหมด10พ่อ โดยพ่อพันธุ์ตัวแรกที่เอามาผสมกับแม่กำแพงแสนคือ L BAR 3100 ได้ออกมาเป็นลูกผสมเพศผู้บีฟมาสเตอร์ตัวแรกของเอเชีย ตั้งแต่นั้นมา TS Farm ก็พัฒนาลูกผสมบีฟมาสเตอร์มาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งปี พ.ศ.2556 ก็เริ่มนำเข้าพ่อพันธุ์บีฟมาสเตอร์เองจากสหรัฐอเมริกามา 2 ตัว ซึ่งก็นำมาพัฒนาปรับปรุงพันธุกรรมเรื่อยมา จนปี พ.ศ.2558 ได้มีโอกาสไปเข้าร่วมงานสัมมนาบีฟมาสเตอร์ที่สหรัฐอเมริกา จากการชักชวนของคุณวินิจ อีกเช่นกัน ในครั้งนี้จึงมีโอกาสได้ไปคัดเลือกพ่อพันธุ์แม่พันธุ์บีฟมาสเตอร์พันธุ์แท้จากสหรัฐอเมริกาด้วยตัวเอง จากการตระเวนดูฟาร์มบีฟมาสเตอร์ต่างๆในย่านมิสซูรี สุดท้ายก็ได้แม่พันธุ์มา 11 ตัว และพ่อพันธุ์ 2 ตัว หลังจากนั้นก็ได้มีการนำเข้าพ่อพันธุ์แม่พันธุ์บีฟมาสเตอร์จากฟาร์มคุณภาพในสหรัฐอเมริกา มาต่อเนื่องทุกปีจนปัจจุบัน ซึ่งปีนี้ก็ได้เลี้ยงและพัฒนาโคบีฟมาสเตอร์เป็นปีที่ 10 แล้ว ตอนนี้มีฝูงโคบีฟมาสเตอร์พันธุ์แท้ เป็นจำนวน 60 ตัว ซึ่งคุณสิทธิพงศ์ ก็วางแผนที่จะพัฒนาฝูงโคบีฟมาสเตอร์พันธุ์แท้และลูกผสมต่อไปเรื่อยๆ เพราะเป็นโคที่เหมาะกับสภาพแวดล้อมของไทย เลี้ยงง่าย สมบูรณ์พันธุ์เร็วและได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นสายพันธุ์แห่งกำไร
30 ปีTS Farm กับการพัฒนา
Brahman &Beefmaster
บทความจาก The cows Magazine ฉบับที่ 184-185
30 ปีTS Farmภายใต้บริหาร“คุณสิทธิพงศ์ กฤชภากรณ์”มุ่งมั่นพัฒนาบราห์มันพันธุ์แท้มาต่อเนื่อง จนมีบราห์มันคุณภาพสูงฝูงใหญ่ 200 ตัว บนพื้นที่เกือบ 1,000 ไร่ ขณะเดียวกัน เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ได้ทุ่มเทพัฒนาวัวสายพันธุ์แห่งกำไรอย่าง Beefmaster มาตลอดมีฝูงบีฟมาสเตอร์พันธุ์แท้และลูกผสมมากที่สุด 200 ตัว จนได้รับรางวัล “บรีดเดอร์นานาชาติแห่งปีคนแรก”จากสหพันธ์ BBU สหรัฐอเมริกาในฐานะผู้พัฒนาและส่งเสริมการเลี้ยงบีฟมาสเตอร์ในเมืองไทย
9 พฤศจิกายนมีโอกาสไปเยี่ยมชมฟาร์ม TS Farm อ.คลองขลุง จ. กำแพงเพชรอีกครั้ง หลังไม่ได้ไปนานหลายปีทุกครั้งที่ไปจะประทับใจในฝูงบีสมาสเตอร์และบราห์มัน 400 ตัว บนแปลงหญ้าเขียวขจีเกือบ 1,000 ไร่ที่ได้รับการยอมรับว่า มีระบบการจัดการดีที่สุดอีกแห่งหนึ่งของเมืองไทย
คุณสิทธิพงศ์ ต้อนรับและให้ความเป็นกันเอง ก่อนเล่าเรื่องบีฟมาสเตอร์ให้เราฟังว่าเลี้ยงบีฟมาสเตอร์เมื่อ 10 ปีก่อน จริง ๆ แล้ว อยากเลี้ยงก่อนหน้านี้นานแล้ว แต่ตอนนั้น หาน้ำเชื้อพันธุ์แท้มาผสมไม่ได้กระทั่งสหพันธ์ผู้เลี้ยงโคบีฟมาสเตอร์ สหรัฐอเมริกา (Beefmaster Breeders United – BBU)ให้น้ำเชื้อบีฟมาสเตอร์พันธุ์แท้ 10 ตัว ผ่านทางคุณวินิจและ คุณภาวณีบริษัทเย็นวามาให้ผมนำไปผสมกับแม่วัวในฟาร์ม จึงมีโอกาสได้ใช้น้ำเชื้อตั้งแต่นั้นมา นำมาผสมกับแม่วัวกำแพงแสน เพราะตอนนั้น เลี้ยงอยู่เกือบ 100 ตัว คัดมาผสมกับน้ำเชื้อบีฟมาสเตอร์ชุดแรก 50 ตัว แล้วก็คลอดลูกผสมบีฟมาสเตอร์ C1 ตัวแรกของเอเชียที่นี่ จากนั้น ก็ทยอยคลอดออกมาจำนวนมาก และวัวประกวดบีฟมาสเตอร์ชุดแรกๆของเมืองไทย ส่วนใหญ่เป็นแบรนด์ TS ผลิตออกมาแล้วให้น้อง ๆ นำไปประกวด แล้วได้รับรางวัล Grand Champion
หลังเลี้ยงลูกผสมหลายปีกระทั่งมั่นใจในวัวสายพันธุ์นี้จึงนำพันธุ์แท้จากอเมริกาเข้ามาเลี้ยงเมื่อ 5 ปีที่แล้ว โดยนำตัวเมียเข้ามาชุดแรก 11 ตัว จริง ๆ แล้ว ก่อนนำพันธุ์แท้ชุดนี้เข้ามา ได้นำพ่อวัวพันธุ์แท้เข้ามาก่อนแล้ว 2 ตัว เพื่อรีดน้ำเชื้อใช้ปรับปรุงพันธุ์ในฟาร์มร่วมกับน้ำเชื้อพ่อวัวนอก 10 ตัว
“เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา BBU ให้ผมไปรับรางวัล “ผู้ปรับปรุงพันธุ์นานาชาติแห่งปีคนแรก” เพื่อยกย่องในความพยายามพัฒนาบีฟมาสเตอร์ในไทย และยังเป็นการฉลองครบรอบ 10 ปี ที่ BBU ส่งเสริมการกระจายพันธุ์บีฟมาสเตอร์ในไทย พร้อมเชิญผมและกลุ่ม 12 Breeders ไปเยี่ยมชมฟาร์มบีฟมาสเตอร์ต่าง ๆ ในอเมริกาด้วย แต่เกิดโรคระบาด Covid-19 จึงเดินทางไปรับรางวัลไม่ได้ แต่ก็ดีใจและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัลนี้ ที่มาที่ไปของรางวัลนี้ คือ BBU มองว่า ผมคือบรีดเดอร์คนแรกของเมืองไทย ที่ใช้น้ำเชื้อบีฟมาสเตอร์ผสมข้ามสายพันธุ์กับแม่วัวลูกผสม แล้วคลอดลูกตัวผู้ตัวแรกออกมาเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ปี 2010นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการกระจายพันธุ์บีฟมาสเตอร์ในไทย จากวันนั้น จนถึงวันนี้ เป็นเวลา 10 ปีแล้ว ที่เราพัฒนาวัวสายพันธุ์นี้มาต่อเนื่อง BBU จึงมองว่า เราเป็นผู้นำในการพัฒนาวัวสายพันธุ์นี้ จนนำไปสู่การก่อตั้งสมาคมบีฟมาสเตอร์แห่งประเทศไทยขึ้นมา และยังมองว่า เรายังเป็นผู้นำเข้าน้ำเชื้อพ่อพันธุ์ และแม่พันธุ์บีฟมาสเตอร์ที่จดทะเบียนกับBBU เป็นรายใหญ่ ไม่ต่ำกว่า 30 ตัว ในปีนี้ และกว่า 200 ตัว ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา”
ขุนมีน้ำหนักเพิ่มมากที่สุด
เป็นที่ทราบกันดีว่าบีฟมาสเตอร์นั้น มีลักษณะประจำพันธุ์ 6 ประการ คือ
1.ความสมบูรณ์พันธุ์ (Fertility)
2.อุปนิสัยและอารมณ์(Disposition)
3.น้ำหนัก (Weight)
4.คุณสมบัติของรูปร่างและหน้าตา(Conformation)
5.ความแข็งแรงทรหด(Hardiness) และ
6.มีน้ำนมมากสำหรับเลี้ยงลูก (Milk Production)
ด้วยลักษณะเด่นเหล่านี้ จึงเป็นสายพันธุ์ที่ตอบสนองต่อหลักเศรษฐกิจเป็นอย่างดี จึงเรียกวัวสายพันธุ์นี้ว่า “สายพันธุ์แห่งกำไร” คุณสิทธิพงศ์ผู้นำกลุ่ม 12 Breeders ยอมรับว่าบีฟมาสเตอร์มีจุดเด่นหลายอย่าง หลักๆเลย ผมให้ความสำคัญเรื่องการเลี้ยงที่เหมาะกับสภาพแวดล้อมเมืองไทย เพราะเราบ้านมีพื้นที่เลี้ยงไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์ และหลายพื้นที่มีแมลงชุกชุม วัวสายพันธุ์อื่นทนต่อสภาพแวดล้อมอย่างนี้ไม่ค่อยได้ แต่บีฟมาสเตอร์ทนได้ดี นอกจากนี้ ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวไว มีน้ำนมเลี้ยงลูกสูงนิสัยเชื่องไม่ดุเหมือนบราห์มัน โดยเฉพาะตอนคลอดลูกใหม่ ๆ จึงช่วยเหลือลูกวัวขั้นต้นได้ง่าย จริงๆ แล้ว วัวสายพันธุ์นี้คลอดลูกตัวเล็ก น้ำหนักแรกคลอดต่ำ พอคลอดไม่กี่นาทีก็ลุกขึ้นมากินนมแม่ช่วยเหลือตัวเองดี เจ้าของวัวแทบไม่ต้องช่วยอะไรเลย ขณะเดียวกัน เอกสารทางวิชาการ The Journal of Animal Science ฉบับเดือนเมษายน2560 ได้ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับ“ประสิทธิภาพการใช้อาหารในโคเนื้อ” ซึ่งได้รับการยืนยันโดย USDA-ARS งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าบีฟมาสเตอร์มีคะแนนนำโคเนื้ออเมริกันหลายพันธุ์ที่เป็นที่นิยม ทั้งในด้านการเพิ่มน้ำหนักตัวต่อวันและน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นหลังหย่านม โดยเก็บข้อมูลจากโคตัวผู้ที่ตอนแล้วและโคสาว 5,606 ตัว บนพื้นฐานข้อมูลปริมาณวัตถุแห้งที่บริโภคเข้าไป โดยงานวิจัยนี้เก็บข้อมูลจากโคหลายพันธุ์ประกอบด้วย แองกัส, บีฟมาสเตอร์, บราห์มัน, แบรงกัส, Braunvieh, ชาร์โลเล่ย์, Chiangus, Gelvieh, เฮียร์ฟอร์ด, ลีมูซีน, Maine Anjou, เรด แองกัส, Salers, ซานต้า เกอตูดิส, ชอร์ทฮอร์น, ซิมเมนทัล, เซ้าท์ เดวอน, และ Tarentaise “ยังเป็นสายพันธุ์ที่เหมาะนำมาบรีดกับลูกผสมในเมืองไทย เพราะลูกผสมบางสายพันธุ์เติบโตช้า ไม่คุ้มในการขุน ส่วนลูกผสมชาร์โร่เล่ส์กับบราห์มัน ถือว่าเติบโตไว แต่ลูกผสมชาร์โร่เล่ส์ จากประสบการณ์หลายสิบปีของผม เมื่อพัฒนาเลือดให้สูงขึ้นเรื่อย ๆจะมีปัญหาบางอย่างตามมาแต่พอเปลี่ยนมาเลี้ยงบีฟมาสเตอร์ วัวเติบโตดีเพราะทนอากาศร้อนและแมลงต่าง ๆ ได้ดีกว่า และยังสมบูรณ์พันธุ์และกลับสัดไว หลังคลอด 40 วัน ก็กลับสัดแล้ว จึงให้ลูกปีละตัวเป็นส่วนใหญ่ นี่คือจุดเด่นของบีฟมาสเตอร์”
พันธุ์แท้และลูกผสมไม่พอขาย
10 ปีมาแล้ว ที่ TS Farm เลี้ยงและพัฒนาบีฟมาสเตอร์ควบคู่มากับบราห์มัน โดยเริ่มจากการเลี้ยงฝูงบีฟมาสเตอร์ลูกผสม พัฒนามาเรื่อย ๆ จนตอนนี้ มีฝูงลูกผสมประมาณ 150 ตัว ขณะเดียวกัน ก็ได้นำเข้าพันธุ์แท้จากอเมริกา เพื่อนำมาพัฒนาฝูงพันธุ์แท้ พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จนมีพันธุ์แท้ในเวลานี้ประมาณ 60 ตัวแล้ว
คุณสิทธิพงศ์กล่าวว่า ในอนาคตตั้งเป้ามีพันธุ์แท้ 100ตัว มีลูกผสม 150 ตัวนี้ ตอนนี้ ก็มีพันธุ์แท้แล้ว 60 ตัว ส่วนลูกผสมจะคงไว้150 ตัวเหมือนเดิม โดยจะเลี้ยงลูกผสมควบคู่กับพันธุ์แท้ไปเรื่อย ๆ ส่วนพันธุ์แท้ ก็เน้นพัฒนาสายพันธุ์ต่อไปเรื่อย ๆ แล้วลูกวัวพันธุ์แท้ ซึ่งเริ่มมีการขายเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมานี้เอง ขายทั้งตัวผู้และตัวเมีย ส่วนลูกผสมตัวเมียก็ขายเช่นกัน ขายตั้งแต่ C1 (เลือด 50:50) ขึ้นไป และในตอนนี้ สมาคมบีฟมาสเตอร์ก็รับจดทะเบียนวัวลูกผสมหรือวัว C แล้ว มีตั้งแต่ C1, C2,C3, C4 ไปถึง C5 เหมือนวัว F ของบราห์มัน ถ้าถามว่าบีฟมาสเตอร์ลูกผสมกับพันธุ์แท้ต่างกันอย่างไร? ต่างกันแน่นอน พันธุ์แท้มีลักษณะตรงกับสายพันธุ์มันมากกว่า ส่วนลูกผสมนั้น มีทั้งที่เกิดกับแม่วัวพื้นเมือง เกิดกับแม่ชาร์โล่เล่ส์หรือแม่กำแพงแสน และเกิดกับแม่บราห์มัน อย่างลูกผสมที่เกิดกับแม่กำแพงแสน ที่ทดลองผสมมาตั้งแต่แรก ลูกออกมามีลักษณะดีกว่าแม่ ทั้งโครงสร้าง กระดูก และกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อ ที่สำคัญ ไม่มีอาการหอบ
ส่วนแม่ลูกผสมบราห์มัน มี 2 แนวคิด นักวิชาการแนะนำให้ใช้แม่ลูกผสมบราห์มันผสมกับชาร์โลเล่ส์ก่อน พอได้ลูกตัวเมียออกมา ค่อยเอาลูกตัวเมียผสมกับบีฟมาสเตอร์เลือดร้อย ลูกออกมาถึงจะมีลักษณะดีขึ้น แต่แนวคิดนี้ต้องเสียเวลาไป 3 ปี ถึงจะได้ลูกผสมบีฟมาสเตอร์ตัวหนึ่ง แต่สำหรับแนวคิดของผม ใช้แม่ลูกผสมบราห์มันผสมกับบีฟมาสเตอร์เลย ลูกวัวออกมามีลักษณะดีเช่นกันและไม่ต้องเสียเวลารอถึง 3 ปี “เวลานี้ พันธุ์แท้ตัวเมียหย่านม ผมเริ่มต้นขายตัวละ 2 แสน ส่วนลูกผสมตัวเมีย หย่านมเหมือนกัน ขายกิโลกรัมละ 300 บาท ส่วนพันธุ์แท้ตัวผู้ ขายตัวละ 1.5 แสน ส่วนตัวผู้ลูกผสม ส่วนใหญ่ขายเป็นกิโล ขายตามราคาตลาด ขายเข้าขุนหมด เพราะเราไม่ได้ขุนเอง แต่ยอมรับว่า ตอนนี้ ไม่ว่าพันธุ์แท้หรือลูกผสม คนต้องการเยอะ จนไม่มีวัวขายทั้งคู่เลย”
นำเข้าพันธุกรรมใหม่ทุกปี
ต้องยอมรับว่าเวลานี้ คนไทยนำบีฟมาสเตอร์พันธุ์แท้เข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ แต่บีฟมาสเตอร์ในอเมริกามีหลายเกรด หลายราคา ตั้งแต่ราคา 2 พันเหรียญ 3 พันเหรียญ ไปจนถึงหมื่นเหรียญ สองหมื่นเหรียญ ถ้าคุณนำบีฟมาสเตอร์เข้ามาแล้วบอกว่า ต้องดีทุกตัวเสมอไป มันไม่ใช่ ไม่ดีทุกตัวอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ในการนำเข้าของแต่ละคน ถ้าต้องการนำเข้ามาขายราคาถูก ก็จะเป็นวัวอีกเกรดหนึ่ง เกรดไม่สูง ราคาไม่แพง
คุณสิทธิพงศ์ กล่าวว่า แต่สำหรับผม มีเป้าหมายชัดเจนตั้งแต่แรก ต้องการนำพันธุกรรมดี ๆ มาพัฒนาสายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พันธุกรรมดีขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อนำพันธุกรรมดี ๆ เข้ามา แน่นอน วัวที่นำเข้ามาย่อมมีราคาแพงมากกกว่า คือความตั้งใจผม ในระยะนี้ 4-5 ปีนี้ จะเอาวัวนอกเข้ามาทุกปี โดยจะนำเข้าระดับท๊อปที่สูงขึ้นทุกปี เพราะต้องการเอามาต่อยอดพันธุกรรมที่เรามีอยู่แล้ว ให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ จะส่งผลให้วัวของเรามีคุณภาพดีขึ้นเรื่อย ๆ ไปด้วย ล่าสุด นำเข้ามา 25 ตัว ส่วนใหญ่เป็นวัวระดับท๊อปๆและเดือนธันวาคมนี้ จะนำเข้ามาอีก 8 ตัว จากฟาร์มใหม่ ชุดนี้เกรดดีกว่า และราคาแพงกว่าชุด 25 ตัวที่แล้ว อย่างที่บอกไปแล้วว่า เราต้องการยกเกรดพันธุกรรมอยู่ตลอด ซึ่งนั่นก็คือการลงทุน สมมติ ผมลงทุนนำแม่วัวราคา 8-9 แสนบาทเข้ามา แล้วผมแบ่งลูกตัวผู้ดี ๆ ที่เกิดจากแม่ตัวนี้ในราคาไม่แพง ให้คุณนำไปคุมฝูงหรือขยายฝูงเป็นร้อย ๆ คุณคิดว่ามันคุ้มหรือเปล่า?
นอกจากจะนำตัวเมียเข้ามา ยังนำพ่อพันธุ์เข้ามาอยู่ตลอดเช่นกัน ล่าสุด ซื้อสุดยอดพ่อพันธุ์แห่งปี 2020 นั่นก็คือ EMS Surely A Bubba (ทายาท EMS Bet on Bubba)จากฟาร์ม Emmons Ranch ฟาร์มบีฟมาสเตอร์เบอร์หนึ่งของอเมริกา หลังคว้า Grand Champion Bulls Houston Livestock Show 2020แต่ไม่ได้นำเข้ามาเมืองไทย นำเข้ามาเฉพาะน้ำเชื้อ เพื่อใช้ปรับปรุงพันธุ์ในฟาร์ม และจำหน่ายให้กับชาววัวคนไทยที่สนใจ นอกจากนี้ ยังจะขายในสหรัฐอเมริกาและอเมริกาใต้ด้วย คาดว่า น้ำเชื้อจะเข้ามาเมืองไทยประมาณต้นปีหน้านี้ นอกจาก EMS Surely A Bubba แล้ว ยังซื้อพ่อวัวนอกอีกตัว ได้จากการประมูลในงาน Lyssy Beefmaster – Heart of the Herd Production Sale นั่นก็คือ Lyssy 98/941 Red Honey เป็นวัวประกวดเช่นกัน เป็นสุดยอดพ่อวัวอีกตัว เพราะมีพันธุกรรมดีมาก และยังมีกล้ามเนื้อหนาสวย แต่ไม่นำตัวเข้ามาเมืองไทยเช่นกัน จะใช้ผลิต “น้ำเชื้อแยกเพศ” ในอเมริกา แล้วส่งเข้ามาในเมืองไทย
“คำว่า พันธุกรรมจึงมีคุณค่ามาก ผมไม่รู้ว่าคนอื่นจะมองอย่างไร แต่สุดท้ายแล้ว เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ผมเลี้ยงวัวมา 30 ปี เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่าง มันต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ วงการวัวมันมีวัฏจักรของมัน ผมจำได้เมื่อ 20 ปีก่อน มีฟาร์มพัฒนาวัวดี ๆ เกิดขึ้นมาเยอะ ลงทุนดี ๆ แล้วทุกวันนี้ คนเหล่านั้นไปไหน สุดท้ายมันอยู่ที่เวลา มันจะเป็นเครื่องพิสูจน์ การเลี้ยงและการพัฒนา ถ้าทุ่มเททำต่อเนื่องหรือทำมาตลอดแล้ววัวจะดีขึ้นเรื่อย ๆ”คุณสิทธิพงศ์ กล่าว
30 ปี TS Farm ภายใต้บริหาร “คุณสิทธิพงศ์ กฤชภากรณ์” มุ่งมั่นพัฒนา บราห์มันพันธุ์แท้มาต่อเนื่อง จนมีบราห์มันคุณภาพสูงฝูงใหญ่ 200 ตัว บนพื้นที่ 1,000 ไร่ ขณะเดียวกัน เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ได้ทุ่มเทพัฒนาวัวสายพันธุ์แห่งกำไรอย่าง Beefmaster มาตลอด มีฝูงบีฟมาสเตอร์พันธุ์แท้และลูกผสมมากที่สุด 200 ตัว จนยังได้รับรางวัล “บรีดเดอร์นานชาติแห่งปีคนแรก” จากสหพันธ์ BBU สหรัฐอเมริกา ในฐานะผู้พัฒนาและส่งเสริมการเลี้ยงบีฟมาสเตอร์ในเมืองไทย
ต่อด้วยเรื่องวัวบราห์มัน ณ เวลานี้คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า TS คือฟาร์มบราห์มันระดับแถวหน้าของเมืองไทย โดยเลี้ยงบราห์มันมาแล้ว 30 กว่าปี จนในขณะนี้ มีอยู่ประมาณ 200 ตัว ส่วนใหญ่เป็นวัวเทา เน้นเลี้ยงระบบปล่อยแปลง 800-900 ไร่ จากพื้นที่ทั้งหมด 1,000 ไร่ แต่ในอนาคตอันใกล้นี้ จะลดฝูงวัวบราห์มันลงเหลือ 100 ตัว
บราห์มันTSต้องยาวลึกหนา
คุณสิทธิพงศ์ กล่าวว่า สาเหตุที่ลดฝูงวัวบราห์มันลง เพราะต้องการเน้นคุณภาพให้มากขึ้น และดูแลให้ทั่วถึงมากขึ้นอีกด้วย ส่วนแนวทางการปรับปรุงพันธุ์ เพื่อให้วัวมีคุณภาพมากขึ้นนั้น พยายามสร้างวัวสไตล์ TS ให้โดดเด่นหรือมีความชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะวัวเทา เพราะยังจะเน้นบรีดวัวเทา ถามว่า ต้องการบรีดวัว TS ให้สไตล์แบบไหน คำตอบก็คือเป็นวัวเฟรมกลาง แต่มีลำตัวยาวและลึก ที่สำคัญ มีกระดูกดีและกล้ามเนื้อหนา แม้การพัฒนาวัวของเราในตอนนี้ จะมีลักษณะหรืออัตลักษณ์ของ TS แล้ว แต่ก็ต้องพยายามปรับปรุงลักษณะดังกล่าวให้ดีขึ้นเรื่อยๆ
“อยากได้วัวตัวยาวๆ ลึกๆ เนื้อเยอะๆ เฟรมไม่ใหญ่ เฟรมกลางๆ ให้มีฟอร์มที่ดีขึ้น ให้หลายๆ คนเห็น แล้วบอกว่า เฮ้ยลักษณะ TS ดูก็รู้ว่า เป็นประมาณนี้ แต่ตัวเราอยากให้ดีกว่านี้ อย่างวัว V8 ทุกคนพูดถึงแล้วรู้เลยว่า วัว V8 มีอัตลักษณ์แบบไหน TS ก็เหมือนกัน อยากให้เป็นแบบนั้น ยอมรับว่า ทำยากมาก แต่ก็เป็นเป้าหมายของเรา ที่จะต้องปรับปรุงไปเรื่อยๆ”
ทำไมต้องขายพันธุ์แท้ 2-2.5 แสน
เช่นเดียวกับ Beefmaster ที่ฟาร์ม TS ต้องปรับปรุงพันธุ์ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ แต่ฟาร์มแห่งนี้ หลังเลี้ยง Beefmaster มา 10 ปีเต็ม ยอมรับว่า เป็นสายพันธุ์ที่ “ตอบ” โจทย์ในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องความเป็นโคเนื้อ คุณสิทธิพงศ์ กล่าวว่า การเลี้ยง Beefmaster นั้น เราไม่ต้องไปสนใจหรือดูแลจนเกินไป เพราะเป็นสายพันธุ์ที่ดูแลตัวเองดี คลอดลูกเอง แต่ลูกแข็งแรง ลุกขึ้นมากินนมเองได้อย่างน่าทึ่ง คุณไม่ต้องไปสนใจมากเกินไป แต่บราห์มันเราต้องปฏิบัติกับเขาพอสมควร เวลาคลอดลูก บางทีกินนมไม่ได้ เราต้องเข้าไปช่วยดูแลด้วย แต่ Beefmaster ดูแลตัวเองได้ค่อนข้างดี จึงช่วยเซฟแรงงานเราได้เยอะ พอดีผมทำคอกเลี้ยง Beefmaster ด้านหลังฟาร์มอยู่คอกหนึ่ง เป็นคอกใหม่สำหรับปล่อยแปลง 100% ไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับเขาเลย ปล่อยธรรมชาติของเขา แล้วปล่อยพ่อพันธุ์คุมฝูง ปล่อยผสมจริง คลอดลูกเองที่นั่น อยู่กินที่นั่นทุกอย่าง วัวเติบโตและสมบูรณ์ทุกตัว จึงมีต้นทุนในการเลี้ยงต่ำลง เมื่อมีต้นทุนต่ำลง ฉะนั้น ในอนาคต Beefmaster พันธุ์แท้หรือเลือดร้อย ก็จะมีราคาถูกลง คือวันนี้ ถามว่า ทำไม Beefmaster พันธุ์แท้ ต้องมีราคาตัวละแสนสองแสนบาท เผลอๆหลายตัวมีราคาแพงกว่าบราห์มันพันธุ์แท้ด้วยซ้ำ อย่าลืมว่า Beefmaster นอกที่นำเข้ามามีหลายเกรด แต่เกรดที่เรานำเข้ามาล่าสุดมีราคาค่อนข้างแพง ฉะนั้น ถ้าเราขายราคาถูก เราจะอยู่ได้อย่างไร เพราะต้นทุนมันมาแพง แต่ถ้าวันหนึ่ง เราเริ่มมีฝูง Beefmaster มากพอแล้ว พร้อมกับลดค่าใช้จ่ายในเรื่องต่าง ๆ ลง เช่น การปล่อยเลี้ยงแปลง 100% ต่อไปราคาวัวที่เราจะขายให้เกษตรกร อาจไม่ถึงสองแสนบาท
“ถ้าคุณอยากเลี้ยง Beef แต่วันนี้ คุณยังมีกำลังซื้อน้อย ก็อย่าพึ่งซื้อไปเลี้ยง อีก 4-5 ปีข้างหน้า ค่อยซื้อก็ได้ เพราะพอถึงวันนั้น ราคามันจะถูกลง เพราะช่วงนั้น ต้นทุนการเลี้ยงของเราจะถูกลง จึงขายวัวถูกลงไปด้วย แต่วันนี้ ถ้าคุณอยากซื้อไปเลี้ยงจริงๆ คุณต้องยอมรับในความเป็น Premium ของมัน ต้องยอมรับราคาของมัน ถ้าคุณจะบอกว่า โอ้พี่ทำไมมันแพงจัง ที่มันแพง เพราะเรามีต้นทุนมาขนาดนี้ สมมติ ผมซื้อวัวนอกเข้ามาตัวละ 6 แสนบาท ตัวละ 8 แสนบาท แล้วขายลูกตัวเมียของมันตัวละ 2-2.5 แสนบาท แล้วคุณมาเห็นวัวของเราปุ๊บ แล้วบอกว่า พี่ทำไมต้องขายตัวละ 2-2.5 แสน ในเมื่อแม่มันมีค่าตัวละ 6 หรือ 8 แสนอย่างนี้ แล้วจะขายลูกมันราคาถูกได้อย่างไง คือมันมีเหตุมีผลของมัน เป็นไปไม่ได้เลย จะขายถูกกว่านี้ แต่คุณไม่ซื้อก็ไม่ได้ว่าอะไร ถ้าคุณไม่ซื้อ ก็เก็บไว้ทำพันธุ์ จะทำให้ต้นทุนการเลี้ยงในอนาคตของเราถูกลง และจริงๆแล้ว วันนี้ เราไม่ได้เน้นเรื่องของการขายซะทีเดียว ต้องการเน้นขยายฝูงมากกว่า”
ขุนปล่อยแปลงมีกำไรมากกว่า
ต้องยอมรับว่า กระแส Beefmaster กำลังมาแรง ยืนยันได้จากการขาย Beefmaster ของฟาร์มต่างๆ ที่มียอดขายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมีวัวไม่พอขาย เช่นเดียวกับฟาร์ม TS ทั้งเลือดร้อยและลูกผสม มีไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าในตอนนี้
คุณสิทธิพงศ์ ยืนยันว่า ทั้งพันธุ์แท้และลูกผสม ไม่ว่าตัวผู้หรือตัวเมีย มีจำนวนไม่พอขาย เลี้ยง Beefmaster มา 10 ปีแล้ว ช่วง 2-3 ปีแรก ขายเฉพาะตัวผู้ ไม่ขายตัวเมียเลย เพราะต้องการเอาไว้ขยายฝูง เพิ่งมาขายตัวเมียพันธุ์แท้ 2 ปีมานี้เอง หลังจากฝูงเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เป็นจังหวะเดียวกับคนเริ่มหันมาเลี้ยงกันเยอะขึ้น จึงถึงจุดที่ต้องแบ่งปันให้คนอื่นเอาไปเลี้ยงบ้าง ขณะเดียวกับที่เรามีการนำวัวนอกชุดใหม่เข้ามาเรื่อยๆ จึงต้องระบายวัวชุดเก่าออกด้วย
ส่วนลูกผสมตัวผู้ ส่งให้สหกรณ์กำแพงแสนหมด โดยจะขายอายุหย่านมเป็นล็อต
ล็อตละ 10-20 ตัว แต่ตอนนี้ กำลังเปลี่ยนรูปแบบการขายใหม่ จากที่ขายอายุหย่านม เปลี่ยนเป็นอายุ 1 ปี โดยจะปล่อยลูกวัวหย่านมลงแปลงหญ้าทั้งหมด หรือที่เรียกว่าขุนในแปลงหญ้า จนมีอายุ 1 ปี หรือมีน้ำหนัก 350 กิโลกรัม/ตัว จากนั้น ก็ชั่งน้ำหนักขายให้สหกรณ์ฯทุกตัว
ถ้าถามว่า ขุนในแปลงหญ้าจนมีอายุ 1 ปี หรือมีน้ำหนัก 350 กิโลกรัม/ตัว มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน? มีความเป็นไปได้สูง เพราะอย่าลืมว่า Beefmaster เป็นสายพันธุ์ที่มีอัตราการเจริญเติบโตหลังหย่านมสูง (WW=Weaning Weight) อายุประมาณ 205 วัน ฉะนั้น ถ้าขุนในแปลงหญ้า 1 ปี มีโอกาสได้น้ำหนัก 350 กิโลกรัม/ตัวสูงอยู่แล้ว
“แต่วัวขุนทั่วๆไป ยิ่งตัวใหญ่ราคาก็ถูกลง อย่างวัวน้ำหนัก 400 กิโล มันก็เหลือกิโลละ 90 บาท วัวเล็กๆ หย่านมก็เหลือกิโลละ 100 กว่าบาท กลไกลการตลาดมันเป็นอย่างนี้ คือตัวเล็กกินน้อยแต่โตไว ราคามันก็สูง แต่วัวใหญ่กินเยอะแต่โตช้า ราคาก็ต่ำ”
ฝันสูงสุดอยากให้ลูกสานต่อ
เมื่อถามถึงเป้าหมายสูงสุดในการเลี้ยงวัวของฟาร์ม TS คุณสิทธิพงศ์ กล่าวว่า วันหนึ่ง ก่อนผมต้องจากโลกนี้ไป อยากทำสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกเอาไว้สานต่อ เพราะมีฟาร์มวัวในประเทศไทยไม่กี่ฟาร์ม ที่มีเรื่องราวหรือประวัติความเป็นมาไม่ต่ำกว่า 30 ปี เท่าที่เห็นและเป็นอยู่ในทุกวันนี้ ก็มีฟาร์มลุงเชาวน์, PC Ranch, CY Farm หรือ SK Pattaya Ranch เช่นเดียวกับในต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ฟาร์มที่มีชื่อเสียงได้ล้มหายตายจากไปหลายฟาร์ม แต่ขณะเดียวกัน ก็มีหลายฟาร์มที่ยังเลี้ยงจนถึงทายาทรุ่นที่ 5-6 ผมอยากทำให้เป็นแบบนี้ ถ้าเราเลี้ยงวัว 50-60 ปี แต่วัวยังไม่พัฒนาให้ดีขึ้น ไม่รู้จะว่าอะไรแล้ว ถ้าไม่มีอะไรที่ดีเลย ต้องผิดปกติแล้ว จริงๆแล้ว เมื่อเลี้ยงมานานขนาดนี้ วัวต้องดีขึ้นแน่นอน และคนที่จะบอกว่า วัวดีขึ้นที่แท้จริง ไม่ใช่ตัวเรา แต่ต้องเป็นคนอื่นมอง ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อวัวดีขึ้นแล้ว ต้องเป็นวัวที่สามารถจับต้องหรือเข้าถึงได้ด้วย จึงจะเกิดประโยชน์ต่อตัวเราและต่อส่วนรวม
“ถ้าดีแล้วจับต้องไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ในความหมายผม ถ้าดีแล้วมันแพงจับต้องไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์ สิ่งที่ดีให้คนอื่นซื้อไปแล้วจับต้องได้ เข้าถึงได้ ซื้อไปแล้วนำไปทำธุรกิจต่อได้ นั่นแหละคือสิ่งที่ดีที่สุด”
คุณสิทธิพงศ์ บรีดเดอร์นานาชาติแห่งปีคนแรกของเอเซีย กล่าวทิ้งท้าย
339 Moo 12 Khlongkhlung Khlongkhlung,Kamphaeng Phet 62120
Tel. 081 888 3358
Email : tsfarm39@gmail.com
